ดีเอสไอ พบหลักฐานสำคัญ มัดเครือข่ายฮั้วประมูลกำนันนก หลังลุยตรวจค้น 5 จุด

DSI แถลงความคืบหน้าคดีกำนันนก หลังรับ 19 โครงการเป็นคดีพิเศษ แย้ม จากการลุยพื้นที่ 5 จุด ค้นหาพยานหลักฐาน พบหลักฐานสำคัญมัดแน่นมีขบวนการฮั้วประมูลเอื้อ 2 บริษัทกำนันนก 1 ใน 5 คือ บ้านเมีย “ไอ้หน่อง ท่าผา” มือยิง พ.ต.ต.ศิวกร สายบัว หรือสารวัตรศิว

เมื่อเวลา 14.00 น. วันที่ 18 ตุลาคม 2566 ที่ ศูนย์ราชการฯ อาคารเอ ชั้น 2 ห้องรับรองกรมสอบสวนคดีพิเศษ พ.ต.ต.สุริยา สิงหกมล อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ มอบหมายให้นายธีรนิติ จันทร์ประวิตร ผู้ช่วยโฆษกกรมสอบสวนคดีพิเศษ และ ร.ต.อ.สุรวุฒิ รังไสย์ ผอ.กองคดีความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ หรือกองคดีฮั้วประมูลฯ ร่วมกันแถลงความคืบหน้า กรณีปฏิบัติการตรวจค้นหาพยานหลักฐานคดีฮั้วประมูล เครือข่ายกำนันนก จำนวน 5 แห่ง

นายธีรนิติ จันทร์ประวิตร ผู้ช่วยโฆษกกรมสอบสวนคดีพิเศษ กล่าวว่า คณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษ กองคดีความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ หรือกองคดีฮั้วประมูลฯ มีเหตุอันควรสงสัยว่า บริษัท ป.พัฒนารุ่งโรจน์ก่อสร้าง จำกัด รวมทั้งบุคคลอื่นที่เกี่ยวข้องได้ใช้สถานที่ดังกล่าวข้างต้นทั้ง 5 แห่ง ในการกระทำความผิดดังกล่าว และน่าเชื่อว่ามีทรัพย์สิน เอกสาร สิ่งของหรือข้อมูลในโทรศัพท์เคลื่อนที่ หรือในระบบคอมพิวเตอร์หรือสื่ออิเล็กทรอนิกส์ต่างๆ ซึ่งมีไว้เพื่อใช้ในการกระทำความผิด หรือได้ใช้ในการกระทำความผิด หรือได้มาจากการกระทำความผิด หรือซึ่งอาจใช้เป็นพยานหลักฐานในคดีนี้ได้เก็บอยู่ที่บ้านพักอาศัยและสถานประกอบการ จึงได้ขออนุมัติหมายค้นต่อศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง ทำการตรวจค้นเป้าหมาย จำนวน 5 แห่ง

โดยเมื่อวันที่ 17 ต.ค.ที่ผ่านมา ร.ต.อ.วิษณุ ฉิมตระกูล รองอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ พ.ต.ต.สุทศธวรรศ อารีย์รัตนะนคร ผอ.กองปฏิบัติการพิเศษ ร.ต.อ.สุรวุฒิ รังไสย์ ผอ.กองคดีความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ ได้นำ

กำลังเจ้าหน้าที่กองคดีความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ ปฏิบัติการร่วมกับเจ้าหน้าที่ศูนย์สืบสวนและสะกดรอย เจ้าหน้าที่ส่วนปฏิบัติการพิเศษ เจ้าหน้าที่สถาบันนิติวิทยาศาสตร์ และเจ้าหน้าที่ตำรวจในพื้นที่ ปรากฏผลการตรวจค้น ดังนี้ 1.บ้านของนางพร (นามสมมติ) อ.เมืองนครปฐม จ.นครปฐม ตรวจยึดโทรศัพท์เคลื่อนที่ จำนวน 8 เครื่อง และเอกสารการเคลื่อนไหวทางบัญชี สมุดบันทึก 2.ร้านของนายอ้วน (นามสมมติ) อ.เมืองนครปฐม จ.นครปฐม ตรวจยึดโทรศัพท์เคลื่อนที่ จำนวน 3 เครื่อง และสมุดบันทึกซึ่งปรากฏหมายเลขบัญชีธนาคารและชื่อบัญชี 3.บริษัท ป.พัฒนารุ่งโรจน์ก่อสร้าง จำกัด อ.เมืองนครปฐม จ.นครปฐม ตรวจยึดเอกสารสัญญาจ้างที่มีมูลค่างานตั้งแต่ 30 ล้านบาท ซึ่งอยู่ในอำนาจหน้าที่ จำนวน 20 แฟ้ม 4.บริษัท เวฬา จำกัด อ.เมืองนครปฐม จ.นครปฐม ตรวจยึดเอกสาร จำนวน 5 รายการ และ 5.บ้านของภรรยานายหน่อง (มือปืนยิงสารวัตร) อ.บ้านโป่ง จ.ราชบุรี ตรวจยึดโทรศัพท์เคลื่อนที่ จำนวน 1 เครื่อง

นายธีรนิติ กล่าวอีกว่า จากการเข้าตรวจค้นพื้นที่ทั้ง 5 จุดบริเวณหลังโรงงานผลิต กล่องกระดาษ กล่องกระดาษลูกฟูก คณะพนักงานสอบสวนจะได้นำพยานหลักฐานที่ได้ไปทำการเชื่อมโยงกับพยานหลักฐานที่ได้จากการสืบสวนสอบสวน เพื่อขยายผลดำเนินคดีกับผู้กระทำความผิดต่อไป หากพบว่ามีบุคคลหรือเจ้าหน้าที่หน่วยงานรัฐใดเข้าไปเกี่ยวข้องก็จะดำเนินการตามกฎหมายอย่างเด็ดขาด และกรมสอบสวนคดีพิเศษ ขอขอบคุณประชาชนและเครือข่ายภาคประชาชนที่ได้แจ้งเบาะแสการกระทำความผิดในคดีพิเศษด้วยดีเสมอมา เพื่อให้การดำเนินการปราบปรามผู้มีอิทธิพล ผู้กระทำความผิด รักษาผลประโยชน์ของประเทศชาติ กรมสอบสวนคดีพิเศษยินดีรับทราบข้อมูลการแจ้งเบาะแสและข้อร้องเรียนได้ที่หมายเลขโทรศัพท์ 1202 (โทรฟรีทั่วประเทศ) หรือเว็บไซต์กรมสอบสวนคดีพิเศษ www.dsi.go.th

ด้าน ร.ต.อ.สุรวุฒิ ผอ.กองคดีฮั้วฯ กล่าวว่า สำหรับ 19 โครงการที่ดีเอสไอรับเป็นคดีพิเศษ ได้ผ่านการเห็นชอบจากพนักงานอัยการ เนื่องจากคดีดังกล่าว เป็นคดีพิเศษตามพระราชบัญญัติการสอบสวนคดีพิเศษ พ.ศ. 2547 มาตรา 21 วรรคหนึ่ง (ง) คดีความผิดทางอาญาที่มีผู้ทรงอิทธิพลที่สาคัญเป็นตัวการ ผู้ใช้ หรือผู้สนับสนุน และเพราะมีพฤติการณ์น่าสงสัยหลายประการ ทั้งจากประเด็นการเสนอราคา และการยื่นซื้อซองเสนอราคา รวมถึงการเข้าร่วมประมูลราคาวันเปิดซอง (e-bidding) ที่พอถึงวันประมูลราคาเหลือผู้ยื่นซื้อซองเพียงน้อยราย และยังมีการชนะราคากันด้วยจำนวนที่ไม่มาก และมีราคาที่เหมือนกันหลายโครงการ

อีกทั้งจากการที่มีพนักงานอัยการเข้าร่วมประชุมหารือในการกำหนดทิศทางการทำคดี เห็นชอบให้มีการค้นเป้าหมาย ซึ่งเชื่อว่ามีการจัดให้ฮั้วประมูลทั้ง 5 จุด โดยใน 4 จุดแรกเจ้าหน้าที่ตำรวจไม่เคยเข้าค้น เพราะตำรวจเคยเข้าค้นเพียงบ้านเลขที่ 30/1 (บริษัท ป.พัฒนารุ่งโรจน์ก่อสร้าง จำกัด หรือบ้านของผู้ใหญ่โยชน์) ซึ่งดีเอสไอเข้าไปค้นหาเอกสารอีกชุดหนึ่ง ไม่ซ้ำกับทางเจ้าที่ตำรวจที่เคยได้มีการดำเนินการไปก่อนแล้ว แต่ก็ได้มีการประสานกันตลอด และการเข้าตรวจยึดเอกสารในครั้งนี้ของดีเอสไอ เพื่อค้นหาว่าใครเป็นผู้ดำเนินการให้ ใครเป็นคนไปยื่นราคา หรือกำหนดราคา ใครทำหน้าที่วิศวกรในการกำหนดราคาต่างๆ เป็นต้น ซึ่งทั้ง 4 จุดดังกล่าว ดีเอสไอเชื่อว่าเป็นกลุ่มที่จัดให้มีการฮั้วประมูลให้กับกำนันนกเป็นหลัก และดีเอสไอได้เอกสารสำคัญหลายรายการจากการเข้าค้น และอยู่ระหว่างรอผลการตรวจพิสูจน์จากสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ เป็นความลับแล้วจัดทำรายงานเสนอมายังดีเอสไอ ซึ่งเป็นเอกสารที่อยู่ในกลุ่มของผู้จัดฮั้วประมูลเดิมที่ดีเอสไอมีฐานข้อมูลอยู่แล้ว และเอกสารก็เป็นตัวเดียวกันกับเบอร์โทรศัพท์ที่ดีเอสไอเจออีกด้วย ทั้งนี้ ยังไม่อยู่ในขั้นตอนที่สรุปได้ว่า กำนันนกมีส่วนในการฮั้วประมูล ขอเวลาในการรวบรวมพยานหลักฐาน

“ทั้ง 5 จุดที่ดีเอสไอเข้าค้น มีลักษณะ คือ 2 จุดรับหน้าที่เป็นผู้จัดฮั้วประมูล ส่วนอีก 1 จุด เป็นของภรรยามือปืน (นายธนัญชัย หมั่นมาก หรือ หน่อง ท่าผา) ส่วนอีก 1 จุด คือ บริษัท ป.พัฒนารุ่งโรจน์ก่อสร้าง จำกัด และอีก 1 จุด คือ บริษัทเวฬา จำกัด เป็นบริษัทของน้องชายกำนันนก” ผอ.กองคดีฮั้วประมูลฯ กล่าวเสริม

ร.ต.อ.สุรวุฒิ กล่าวอีกว่า กลุ่มต่างๆ ที่ดำเนินการจัดให้มีการฮั้วประมูลนี้ จะมีการใช้โทรศัพท์ในการสื่อสารกันและดีเอสไอมีความเชื่ออยู่อย่างหนึ่งที่พบตามเอกสารทั้ง 19 โครงการจะเห็นตรงกันว่าในแต่ละโครงการจะมีคนเข้าซื้อซองเสนอราคาจำนวนเยอะ โดยเฉพาะโครงการสุดท้าย ปี 65 มีคนเข้ายื่นซื้อซองเสนอราคาถึง 52 ราย แต่เหลือเพียงหนึ่งรายที่เข้าเปิดซองก็คือบริษัทของกำนันนก จึงเป็นพฤติการณ์ที่เราจะต้องพิสูจน์ให้ได้ว่าใครบ้างเป็นผู้ที่อยู่ในกระบวนการจัดฮั้วประมูล และผู้กระทำผิดในขั้นตอนต่างๆ มีใครบ้าง

ร.ต.อ.สุรวุฒิ กล่าวถึงระบบการฮั้วประมูลในประเทศไทยว่า ระบบการยื่นประมูลของประเทศไทย มี 3 เฟส ประกอบด้วย เฟสแรก เรียกว่าการยื่นซื้อซอง ซึ่งวันที่มาเสนอราคา จะต้องไปที่สถานที่เพื่อยื่นซองเสนอราคา ตอนหลังพบว่ามีกลุ่มชายไม่ทราบชื่อ แต่งตัวคล้ายทหารตำรวจไปดำเนินการกีดกัน อุ้มตัวไม่ให้เสนอราคา เพื่อกีดกันราคาเลยเกิดการฮั้ว จากนั้นปี 2548 มีการปรับระบบเป็นระบบ e-Auction เป็นการประกวดราคาโดยอิเล็กทรอนิกส์ แต่เป็นการยื่นซองเสนอราคาทางอิเล็กทรอนิกส์ แต่วันเสนอราคายังเจอกันอยู่ โดยจะไปที่สถานที่แห่งหนึ่งที่ถูกรัฐกำหนดให้เป็นตลาดกลาง แต่ก็ยังพบปัญหา คือ จะมีกลุ่มคนที่ไปยืนรอ มีการตกลงกันในเรื่องราคา ท้ายสุดเกิดความไม่โปรงใสเหมือนเดิม จนปี 2559 เกิดระบบ e-bidding เข้าใจว่าทันสมัยและดีที่สุด แต่ระบบนี้มีข้อดี 2 อย่าง คือ ตอนยื่นเอกสารไม่เจอกัน และในวันเสนอราคาก็ไม่เจอกัน ยื่นผ่านระบบยูเซอร์เนมและรหัสที่รัฐกำหนดให้ ไม่มีปัญหาในเรื่องกีดกันราคา แต่เกิด

ขึ้นมาด้วยกลุ่มหนึ่งที่เข้าถึงข้อมูลภาครัฐและนำข้อมูลต่างๆ ออกมา เพื่อให้รู้ว่าในจำนวนผู้ที่ยื่นซื้อซองประกวดราคามีใครบ้าง และจะมีกลุ่มที่ดำเนินการติดต่อไปยังเบอร์โทรศัพท์ของผู้ยื่นซื้อซองเพื่อกีดกันราคา หรือใช้วิธีการใดก็ตามเพื่อไม่ให้บุคคลเหล่านี้เข้าไปในวันเสนอราคา ท้ายสุดจึงเห็นว่าจะมีผู้เสนอราคาเปิดซองเหลือเพียงแค่ 3-4 รายเท่านั้น ทำให้กลุ่มคนเหล่านี้กำหนดราคาได้ว่าใครจะยื่นเท่าไร ดังนั้น สิ่งที่เราไปค้นเพราะต้องการหาพยานหลักฐานเพื่อพิสูจน์ว่าคนที่เข้าถึงข้อมูลและดำเนินการในเรื่องเหล่านี้ ดำเนินการผ่านโทรศัพท์เครื่องใด และกลุ่มที่เราเข้าไปค้นเป็นกลุ่มที่อยู่ในฐานการสืบสวนเดิมที่มีอยู่แล้ว เราจึงได้มีการขยายผลเพิ่มเติม