ไม่ฆ่าลูก ก็ถูกลูกฆ่า พ่อหลั่งน้ำตา ยิงลูกทาสยานรกตายมือยังกำมีด

ลูกชายถูกไล่ออกจากงานที่กทม. กลับมาอยู่บ้านกับพ่อแม่ แต่ยังไม่เลิกพฤติกรรมเสพยาเสพติด กลับหนักกว่าเก่าไถเงินเอาไปซื้อยาเสพ ถึงขั้นชักมีดจี้พ่อ ข่มขู่แม่จนอยู่ไม่ได้ สุดท้ายคลั่งควงมีดบุกจะฟันพ่อ ถูกยิงสวนด้วยปืนแก๊ปดับอนาถ ยิงแล้วรอมอบตัว บอกไม่อยากฆ่าลูกเลย แต่ถ้าไม่ทำแบบนี้คนที่ตายคือพ่อเอง
เวลา 05.00 น. วันที่ 13 สิงหาคม ร.ต.อ.เสถียร วงศ์หาจักร รอง สว.สอบสวน สภ.กุดจับ ได้รับแจ้งเหตุพ่อใช้อาวุธปืนแก๊ปยิงลูกชายเสียชีวิตบริเวณถนนท้ายหมู่บ้าน ก่อนถึงบ้านเลขที่ 144 บ.หนองเม็ก ม.13 ต.ขอนยูง อ.กุดจับ จ.อุดรธานี ที่เกิดเหตุเป็นถนนลูกรังระหว่างหมู่บ้านกับบ้านสวน ห่างจากหมู่บ้าน 1 กิโลเมตร พบศพนายประพันธ์ ไพรพฤกษ์ อายุ 37 ปี หรือปุ้ย นอนคว่ำหน้า สวมเสื้อยืดสีดำ กางเกงยีนส์ขายาว ในมือขวามีมีดปลายแหลมยาวประมาณ 1 ฟุต อยู่ในมือ มีสายยางยืดรัดไว้อย่างแน่นหนา มีร่องรอยถูกยิงด้วยลูกปลาย 2 นัด เข้าที่แขนซ้าย ทะลุเข้าหน้าอกซ้าย ทะลุออกหลัง โดยมีนายสมพัฒน์ ไพรพฤกษ์ อายุ 57 ปี พ่อของนายประพันธ์ ผู้ตาย ยืนรอมอบตัวอยู่ที่เกิดเหตุพร้อมอาวุธปืนแก๊ปยาว รับสารภาพทั้งน้ำตาว่าเป็นผู้ก่อเหตุใช้อาวุธปืนแก๊ปยิงลูกชายจนเสียชีวิต
นายสมพัฒน์ ไพรพฤกษ์ ผู้ต้องหาถูกนำตัวมาสอบปากคำเพิ่มเติม โดยมีนายสุภาพ ดานะ อายุ 52 ปี ผู้ใหญ่บ้านหนองเม็ก และนางสมหมาย ไพรพฤกษ์ อายุ 60 ปี ภรรยาของผู้ก่อเหตุและเป็นแม่ของผู้ตายมาร่วมให้ปากคำเพิ่มเติม ในฐานะพยาน โดยให้การว่า ตนและภรรยาเป็นเกษตรกร มีลูก 2 คน คนตายเป็นคนโต คนเล็กเป็นลูกสาว อายุ 34 ปี เมื่อ 30 ปีที่แล้วตัดสินใจไปทำงานก่อสร้างที่กทม.ทั้งครอบครัว และกลับมาทำการเกษตรที่บ้านเมื่อ 20 ปีที่แล้ว พร้อมกับเป็นอาสา อปพร.หมู่บ้าน ลูกสาวและลูกชายไปทำงานโรงงานกล่องของขวัญ ถุงของขวัญอยู่ที่ กทม.
กระทั่งเมื่อ 6 เดือนที่แล้ว ลูกชายได้กลับมาขออยู่ด้วย ทราบว่าถูกไล่ออกจากงาน เนื่องจากมีพฤติกรรมติดยาเสพติดอย่างหนัก ตนมีบ้าน 2 หลัง หลังหนึ่งอยู่ในหมู่บ้าน อีกหลังหนึ่งเป็นบ้านสวนที่เกิดเหตุ จึงให้ลูกชายมาช่วยงานที่บ้านสวนแห่งนี้ เมื่อลูกชายมาถึงก็ยังมีพฤติกรรมดื่มเหล้า ติดยาเสพติด ทั้งยาบ้า กัญชา ใบกระท่อม เมื่อไม่มีเงินไปซื้อก็จะอาละวาดขอเงินจากแม่และพ่อ หากไม่ให้ก็จะขู่ทำร้ายร่างกายด้วยอาวุธมีด ทุบทำลายข้าวของ
นายสมพัฒน์ กล่าวอีกว่า แม่ทนพฤติกรรมลูกชายไม่ไหว และหวาดกลัวว่าจะถูกทำร้าย จึงย้ายไปอยู่บ้านอีกหลังหนึ่งในหมู่บ้าน ส่วนตนเองคอยมาดูแลที่สวน แต่ก็จะหลบเลี่ยงไม่ให้เจอกับลูกชาย เพราะเจอกันเมื่อไหร่จะทะเลาะกันทุกครั้ง เลยปล่อยให้ลูกชายพักอยู่คนเดียวที่บ้านสวนหลังนี้ ก่อนเกิดเหตุตนออกมานอนเฝ้าที่นา เพื่อที่จะให้อาหารสัตว์ที่เลี้ยงไว้ในตอนเช้า ขณะนอนหลับอยู่กระท่อมนา ห่างจากบ้านพักประมาณ 10 เมตร เวลาประมาณ 04.00 น. สะดุ้งตื่นเพราะได้ยินเสียงลูกชายเอะอะโวยวาย และใช้มีดหรือของแข็งลากสังกะสีให้เกิดเสียงดังเข้ามาหาตน
เมื่อตั้งสติได้จึงคว้าปืนแก๊ปยาวขึ้นมาไว้เพื่อป้องกันตัว เพราะตอนนั้นยังมืดอยู่มองเห็นยังไม่ชัดเจน แต่รู้ว่าลูกชายต้องการเข้ามาทำร้ายแน่นอน เพราะตะโกนโวยวายเพื่อจะขอเงินไปซื้อยาเสพติด ตนลงมาจากกระท่อมนา เพื่อหาทางหนีทีไล่ จังหวะนั้นลูกชายได้ถือมีดกระโจนเข้าใส่ จึงยิงสวนไป 1 นัด ลูกชายได้ร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด และวิ่งหนีออกไปทางหน้าบ้าน ห่างจากจุดเกิดเหตุราว 50 เมตร ขณะนั้นตนยังไม่ได้วิ่งตามไปทันที เพราะไม่รู้ว่าลูกชายที่คลั่งจะสงบลงหรือไม่ และคิดว่ายังไม่ปลอดภัย ก่อนโทรหาลูกสาวเพื่อบอกว่าเกิดอะไรขึ้น และลูกสาวก็โทรศัพท์แจ้งผู้ใหญ่บ้าน ไม่นานเจ้าหน้าที่ก็เข้ามาที่เกิดเหตุ
นายสมพัฒน์ กล่าวด้วยว่า รู้สึกเสียใจมากที่ต้องก่อเหตุยิงลูกชายจนเสียชีวิต แต่หากไม่ยิงสวนออกไปคนที่ตายคงจะเป็นตนแทนแน่นอน ลูกชายอยู่ในอาการคลุ้มคลั่งอย่างหนัก ปกติก็จะทะเลาะกันเป็นประจำหากเจอหน้ากัน เพราะลูกชายมักจะไปอาละวาดขอเงินแม่ในหมู่บ้านประจำ ตักเตือนสั่งสอนตลอด พยายามจะนำตัวไปบำบัดรักษา ลูกชายก็ไม่ยอม หนักเข้าก็จะทำร้ายแม่ และเคยทำร้ายตนใช้มีดมาจี้คอ 2 ครั้ง แต่ได้แจ้งผู้ใหญ่บ้านลงบันทึกไว้เท่านั้น แต่ครั้งนี้ลูกชายคลั่งหนักเหลือเกิน ด่าทอพ่อ ขึ้นกูขึ้นมึง จะหาทางหนีไปทางทุ่งนา แต่ลูกชายก็ยังถือมีดจะเข้ามาทำร้าย อยากให้ปราบปรามยาเสพติดให้หมดไป ครอบครัวตนต้องพังพินาศ เพราะพิษของมัน ย้อนกลับไปได้ก็ไม่อยากที่จะฆ่าลูกเลยสักนิด นายสมพัฒน์ กล่าวทั้งน้ำตา
ด้าน พล.ต.ต.พิษณุ อุณหเสรี ผบก.ภ.จว.อุดรธานี เปิดเผยว่า หลังจากสอบปากคำผู้ต้องหาและพยานในเบื้องต้นได้แจ้งข้อหา นายสมพัฒน์ฯ “ฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา, ครอบครองอาวุธปืนโดยไม่ได้รับอนุญาต” ส่วนจะเป็นการป้องกันตัวเองหรือไม่ ต้องพิจารณาในการสอบปากคำเพิ่มเติมที่จะลงรายละเอียดในสำนวนคดี ว่าสมควรแก่เหตุในการป้องกันตัวเองหรือไม่ ซึ่งตามหลักมนุษยธรรมทางตำรวจจะให้ประกันตัวในชั้นพนักงานสอบสวน โดยไม่มีหลักประกัน เนื่องจากผู้ต้องหาไม่มีพฤติกรรมหลบหนี หลังก่อเหตุได้ยืนรอมอบตัวพร้อมอาวุธปืนอยู่ในที่เกิดเหตุ และเชื่อว่าไม่มีพ่อแม่คนไหนที่อยากจะฆ่า หรือทำร้ายลูก และเพื่อให้โอกาสผู้ต้องหาไปร่วมพิธีฌาปนกิจลูกชาย จะไม่มีการทำแผนประกอบคำรับสารภาพในที่เกิดเหตุ.